เมนู

อาจจะนำกลับคืนมาได้ ขอได้ทรงโปรดอดโทษ
แก่อสัตบุรุษเถิดพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่
อยากให้ฆ่าเขา.
[1399] ควรคบแต่ท่านนิโครธเท่านั้น ไม่ควร
เข้าไปคบเจ้าสาขะอยู่ ตายเสียในสำนักท่าน
นิโครธประเสริฐ ว่า เป็นอยู่ในสำนักเจ้าสาขะ
จะประเสริฐอะไร.

จบ นิโครธชาดกที่ 7

อรรถกถานิโครธชาดกที่ 7



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนาเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า น จาหเมตํ
ชานามิ
ดังนี้.
ได้ยินว่า วันหนึ่งภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาถึงเรื่อง
พระเทวทัต ที่ภิกษุทั้งหลายตักเตือนว่า ดูก่อนท่านเทวทัต พระศาสดา
ทรงมีพระอุปการะแก่เธอมา เพราะเธอได้อาศัยพระองค์ จึงได้
บรรพชาอุปสมบท ได้เรียนพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก และได้ฌาน
แม้ลาภสักการะของเธอก็เกิดแต่พระทศพลทั้งนั้น พระเทวทัตยังยก

สลากหญ้าขึ้นประกาศว่า อุปการคุณแม้เพียงเท่านี้เราก็ไม่แลเห็นว่า
พระสมณโคดมกระทำให้แก่เรา ดังนี้ พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร ? เมื่อ
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นอกตัญญูประทุษร้ายมิตร แม้
ในกาลก่อน พระเทวทัตก็เป็นคนอกตัญญูประทุษร้ายเหมือนกัน แล้ว
ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระเจ้ามคธราชครองราชสมบัติอยู่ในนครราชคฤห์
ครั้งนั้นเศรษฐีเมืองราชคฤห์ได้ขอธิดาของเศรษฐีในชนบทมาให้เป็น
ภรรยาของบุตรตน นางนั้นเป็นหญิงหมัน ต่อมาภายหลังตระกูลนั้นก็
เสื่อมลาภสักการะลง เขาพูดกันให้นางนั้นได้ยินว่า เมื่อหญิงหมันมาอยู่
เรือนลูกชายเรา วงศ์ตระกูลจักเจริญได้อย่างไร นางได้ฟังคำนั้นจึงคิดว่า
ช่างเถอะ เราจักทำมีครรภ์ลวงคนเหล่านี้ แล้วกล่าวถามหญิงพี่เลี้ยงที่
ไว้วางใจ ถึงวิธีการของหญิงมีครรภ์ว่า ธรรมดาหญิงที่มีครรภ์จะต้องทำ
อย่างไรบ้าง ? ครั้นได้ฟังแล้ว เมื่อถึงคราวมีระดูก็ปกปิดเสีย แสดงกิริยา
ของหญิงแพ้ท้อง มีชอบของเปรี้ยวเป็นต้น ในเวลาที่มือเท้าบวมจึงทุบ
หลังมือหลังเท้าให้นูน เอาผ้าเก่าพันท้องให้โตขึ้นทุกวัน ๆ ทำหัวนมให้
ดำ แม้จะทำสรีรกิจก็ไม่ทำต่อหน้าคนอื่นนอกจากหญิงพี่เลี้ยงคนนั้น แม้
สามีก็ได้ช่วยบริหารครรภ์แก่นางอยู่มาได้ 9 เดือนด้วยอาการอย่างนี้

นางจึงลาพ่อผัวแม่ผัวจะไปคลอดบุตร ณ เรือนบิดาในชนบท แล้วก็
ขึ้นรถออกจากเมืองราชคฤห์เดินทางไปด้วยบริวารใหญ่.
ข้างหน้านาง มีพวกเกวียนไปพวกหนึ่ง นางไปถึงที่ซึ่งพวกเกวียน
หยุดพักแล้วไปในเวลาอาหารเช้า วันหนึ่งหญิงเข็ญใจคนหนึ่งที่อาศัยไป
ในพวกเกวียนนั้น ตลอดบุตรที่โคนต้นไทรต้นหนึ่งในกลางคืน ครั้น
รุ่งเช้าเมื่อพวกเกวียนออกเดินทาง จึงคิดว่า เราเว้นพวกเกวียนเสียแล้ว
ไม่อาจไปได้ แลเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ก็อาจที่จะได้บุตร ดังนี้แล้วจึงเอารถ
และครรภมลทินมาราดลงที่ควงข่ายต้นไทรแล้วทิ้งบุตรไป เทวดาได้มา
อารักขาทารกไว้ เพราะทารกนั้นไม่ใช่สัตว์สามัญ คือองค์พระโพธิสัตว์
ทีเดียว แลครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้มาถือปฏิสนธิเช่นนั้น.
เวลาเช้า หญิงหมันได้ไปถึงที่นั้นในเวลาอาหารเช้า คิดว่าจักทำ
สรีรกิจจึงไปที่โคนต้นไทรกับหญิงพี่เลี้ยงนั้น เห็นทารกมีวรรณะดังทอง
จึงพูดกับพี่เลี้ยงว่า กิจของเราสำเร็จแล้ว แล้วก็แก้ผ้าพ้นท้องออก เอา
โลหิตและครรภมลทินทาหน้าขาแล้วบอกว่าตนคลอดบุตร ทันใดนั้นพวก
บริวารชนต่างพากันร่าเริงยินดี ช่วยกันเอาม่านกั้นให้นาง แล้วมีหนังสือ
ส่งไปนครราชคฤห์ ลำดับนั้น พ่อผัวแม่ผัวของนางมีหนังสือส่งไปว่า
เมื่อคลอดแล้วก็ไม่ต้องไปตระกูลบิดาจงกลับมาที่นี้เถิด นางจึงกลับเข้า
นครราชคฤห์ทันที เมื่อจะรับขวัญตั้งชื่อทารก ญาติทั้งหลายตั้งชื่อให้
ว่า นิโครธกุมาร เพราะเกิดที่โคนต้นไทร ในวันเดียวกันนั้นหญิง

สะใภ้ของอนุเศรษฐีก็ไปตระกูลบิดามารดาเพื่อจะคลอดบุตร ได้คลอด
บุตรที่ใต้กิ่งไม้แห่งหนึ่งในระหว่างทาง พวกญาติได้ตั้งชื่อให้ทารกนั้นว่า
สาขกุมาร และในวันเดียวกันนั้น ภรรยาของช่างชุนที่อาศัยมหาเศรษฐี
อยู่ ก็คลอดบุตรที่ระหว่างกองผ้าขี้ริ้ว พวกญาติจึงตั้งชื่อให้ทารกนั้นว่า
โปติกะ.
มหาเศรษฐีทราบว่า ทารกทั้งสองคนนั้นเกิดในวันที่นิโครธ-
กุมารเกิด จึงนำมาบำรุงเลี้ยงไว้ร่วมกับนิโครธกุมาร กุมารทั้งสามนั้น
เติบโตมาพร้อม ๆ กัน ครั้นเจริญวัยแล้วจึงไปเมืองตักกศิลาเรียนศิลปะ
สองบุตรเศรษฐีให้ทรัพย์เป็นค่าสอนแก่อาจารย์คนละพัน แต่โปติก-
กุมารคอยรับเรียนศิลปะในสำนักนิโครธกุมาร เมื่อกุมารทั้งสามสำเร็จ
การศึกษาแล้ว จึงลาอาจารย์ออกเที่ยวไปตามชนบท ถึงเมืองพาราณสี
โดยลำดับ นอนอยู่ ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง.
ครั้งนั้น เป็นคราวที่พระเจ้าพาราณสีเสด็จสวรรคตได้เจ็ดวัน
พวกเสนามาตย์ให้ตีกลองประกาศทั่วนครว่า วันพรุ่งนี้จักเสี่ยงบุศยราช-
รถ ขณะที่เพื่อนรักทั้ง 3 พากันนอนหลับอยู่ที่โคนต้นไม้ โปติกะลุกขึ้น
เวลาเช้ามืด นั่งนวดฟั้นเท้านิโครธกุมารอยู่ บนต้นไม้นั้นมีไก่นอนอยู่
สองตัว ไก่ตัวบนถ่ายอุจจาระลงถูกไก่ตัวล่าง ลำดับนั้น ไก่ตัวล่างจึง
ถามไก่ตัวบนว่า ใครถ่ายอุจจาระ ไก่ตัวบนตอบว่า เพื่อนอย่าโกรธเลย
เราไม่รู้จึงถ่ายลง ไก่ตัวล่างต่อว่าไก่ตัวบนว่า เจ้าสัตว์ร้าย เจ้าเข้าใจว่า
ตัวข้าเป็นที่ถ่ายอุจจาระของเจ้าหรือ เจ้าไม่รู้จักความดีของข้าหรือ ? ไก่

ตัวบนกล่าวกะไก่ตัวล่างนั้นว่า เจ้าสัตว์ร้าย เมื่อข้าซึ่งเป็นผู้ไม่รู้ยอมรับ
แล้วว่าถ่ายเอง เจ้ายังโกรธอยู่อีก อะไรนะที่เป็นความดีของเจ้า ไก่ตัว
ล่างตอบว่า ผู้ใดฆ่าเราแล้วกินเนื้อ ผู้นั้นจะได้ทรัพย์พันหนึ่งแต่เช้า
ทีเดียว ฉะนั้นข้าจึงถือตัวนัก ไก่ตัวบนกล่าวกะไก่ตัวล่างนั้นว่า เจ้าสัตว์
ร้าย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เจ้ายังถือตัวได้ เรานี่สิถ้าใครฆ่าแล้วกินเนื้อ
กล้ามของเรา เขาจะได้เป็นพระราชาแต่เช้าทีเดียว คนที่กินเนื้อกลาง ๆ
จะได้เป็นเสนาบดี คนที่กินเนื้อติดกระดูก จะได้เป็นขุนคลัง โปติกะ
ได้ยินถ้อยคำของไก่ทั้งสองนั้น จึงคิดว่าจะเป็นประโยชน์อะไรด้วยทรัพย์
พันหนึ่ง ราชสมบัติเท่านั้นประเสริฐ จึงค่อย ๆ ขึ้นต้น ไม้ไปจับไก่ตัวที่
นอนบนลงมาฆ่า ย่างบนถ่านไฟแล้วฉีกเนื้อกล้ามให้นิโครธกุมาร ให้
เนื้อกลาง ๆ แก่สาขกุมาร ตัวเองบริโภคเนื้อติดกระดูก ก็แลครั้นบริโภค
กันแล้ว โปติกะจึงพูดว่า เพื่อนนิโครธ วันนี้ท่านจักได้เป็นพระราชา
เพื่อนสาขะ วันนี้ท่านจักได้เป็นเสนาบดี ส่วนเราจักได้เป็นขุนคลัง ถูก
สองสหายถามว่า ท่านรู้ได้อย่างไร ? จึงเล่าเรื่องราวให้ฟังทุกประการ.
สามสหายนั้น ครั้นถึงเวลาบริโภคอาหารเช้า ก็พากันเข้าเมือง
พาราณสี บริโภคข้าวปายาสที่ระคนด้วยเนยใสและน้ำตาลกรวดที่เรือน
พราหมณ์คนหนึ่ง แล้วออกจากเมืองเข้าพระราชอุทยาน นิโครธกุมาร
นอนบนแผ่นศิลา สองกุมารนอนข้างนอก ขณะนั้นพวกเสนามาตย์
ทั้งหลายได้เอาเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์วางไว้ ภายในบุศยราชรถแล้ว
ปล่อยไป ความพิสดารของการเรื่องบุศยราชรถนั้น จักมีแจ้งในมหา-

ชนกชาดก บุศยราชรถไปถึงพระราชอุทยานก็หันกลับหยุดอยู่ ประหนึ่ง
ว่าเตรียมการคอยท่าให้คนขึ้น ปุโรหิตคิดว่า สัตว์ผู้มีบุญคงจะมีในพระ
ราชอุทยาน จึงเข้าพระราชอุทยาน เห็นกุมารเข้าก็เลิกผ้าปลายเท้าขึ้น
พิจารณาลายลักษณ์ที่เท้าทั้งสอง ก็ทราบชัดว่า ราชสมบัติเมืองพาราณสี
ยังคงดำรงอยู่ต่อไป กุมารนี้สมควรเป็นราชาธิราชใหญ่ยิ่งทั่วชมพูทวีป
จึงสั่งให้ประโคมขึ้น.
นิโครธกุมารตื่นขึ้น เลิกผ้าคลุมหน้าออก แลเห็นคนประชุม
กันมาก พลิกกลับมานอน ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปอีกหน่อยหนึ่ง แล้ว
ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนแผ่นศิลา ลำดับนั้น ปุโรหิตคุกเข่าลงกล่าวกะ
นิโครธกุมารนั้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพราชสมบัติถึงแก่พระองค์
แล้ว เมื่อนิโครธกุมารกล่าวว่า ดีแล้ว ก็จัดราชพิธีให้นั่งเหนือกองแก้ว
ณ ที่นั้น แล้วอภิเษกตามราชประเพณี นิโครธกุมารนั้นครองราช
สมบัติแล้ว พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่ราชกุมาร แล้วเสด็จเข้า
พระนครด้วยสักการะใหญ่ แม้โปติกะก็ตามเสด็จเข้าไปด้วย จำเดิมแต่
นั้นมา พระมหาสัตว์ได้ครองราชสมบัติในนครพาราณสีโดยธรรม วัน
หนึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงมารดาบิดา จึงกล่าวกะสาขะว่า แน่ะเพื่อน
เราไม่อาจอยู่โดยปราศจากมารดาบิดาได้ ท่านพร้อมด้วยบริวารใหญ่จง
ไปหามารดาบิดาของเรามา. สาขเสนาบดีทูลปฏิเสธว่า ข้าพระองค์ไม่มี
กิจที่จะต้องไปในที่นั้น ต่อจากนั้นพระราชารับสั่งโปติกะให้ไปรับ โปติก-
กุมารรับพระราชบัญชาว่า ได้พระเจ้าข้า แล้วก็ไป ณ ที่นั้น เข้าไปหา

พระชนกชนนีของพระเจ้านิโครธราช แจ้งว่า นิโครธกุมารบุตรของ
ท่านได้ราชสมบัติแล้ว มาเถิดท่านเราจักไป ณ ที่นั้น พระชนกชนนีจึง
ห้ามว่า อย่าให้เราไปเลยสมบัติของเราก็มีอยู่แล้ว. โปติกกุมารจึงมาบอก
มารดาบิดาของสาขเสนาบดี ท่านทั้งสองนั้นก็ไม่ยอมไป จึงได้มาหา
มารดาบิดาของตน อ้อนวอนจะให้ไปอยู่ด้วย ท่านทั้งสองนั้นก็ห้ามเสีย
ว่า ลูกรัก เราจักขอเป็นอยู่ด้วยทำการชุนเช่นนี้ อย่าให้เราต้องไปเลย
โปติกะกุมารครั้นไม่ได้มารดาบิดาไปแล้ว ก็กลับมายังเมืองพาราณสี คิดว่า
จะไปพักที่เรือนของเสนาบดีให้หายเหนื่อย แล้วจึงจะเข้าเฝ้าพระเจ้านิ-
โครธราชต่อภายหลัง จึงไปที่ประตูเรือนเสนาบดี กล่าวกะนายประตูว่า
จงไปบอกท่านเสนาบดีว่า นายโปติกะสหายของท่านมาหานายประตูได้
ทำตามนั้น.
ฝ่ายสาขเสนาบดีผูกเวรในโปติกุมารว่า โปติกะนี้ไม่ให้ราช-
สมบัติแก่เรา ไปให้แก่นิโครธกุมารผู้สหายเสีย พอสาขเสนาบดีได้ฟัง
คำนั้นเท่านั้นก็โกรธออกมาว่าว่า ใครเป็นสหายของไอ้คนนี้ มันเป็น
คนบ้า ลูกอีทาสี จงจับมันไปแล้วให้บ่าวใช้มือเท้าศอกเข่าทุบถองจับคอ
ใสออกไป โปติกกุมารนั้นคิดว่า ไอ้สาขะมันได้ตำแหน่งเสนาบดีก็เพราะ
เรามันยังอกตัญญูประทุษร้ายมิตร ให้คนทุบถองขับไล่เรา แต่ท่าน
นิโครธเป็นบัณฑิตกตัญญู เป็นสัตบุรุษ เราจักไปเฝ้าท่าน แล้วไปยัง
ประตูพระราชวัง ให้นายประตูเข้าไปกราบทูลแด่พระราชาว่า นัยว่า
พระสหายของพระองค์ชื่อว่าโปติกะมาเฝ้าอยู่ที่ประตู พระราชารับสั่งให้
เข้ามา ครั้นทอดพระเนตรเห็นนายโปติกะมา ก็เสด็จลุกจากพระราช-

อาสน์ออกต้อนรับทรงปฏิสันถาร ตรัสสั่งให้ช่างกัลบกมาแต่งผมและ
หนวด แล้วไห้ประดับเครื่องสรรพาภรณ์ และให้บริโภคโภชนะอันประ-
ณีตที่มีรสอันเลิศ แล้วประทับตรัสด้วยถามฉันมิตรกับโปติกะ ตรัสถาม
ถึงข่าวคราวของพระชนกชนนี ทรงทราบว่าท่านไม่ยอมมา.
แม้สาขเสนาบดีก็คิดว่า นายโปติกะคงทำลายเราในสำนักพระ-
ราชา แต่เมื่อเราไปเฝ้าเขาคงไม่อาจกล่าวโทษอะไร ๆ คิดดังนี้แล้วจึงไปเฝ้า
ณ พระราชสำนักนั้นแหละ นายโปติกะได้กราบทูลพระราชาต่อหน้า
สาขเสนาบดีนั้นแลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์เหน็ด
เหนื่อยมาตามทาง คิดว่าจะไปเรือนท่านสาขะพักผ่อนแล้วจักเข้าเฝ้า แต่
ท่านสาขะกล่าวกะข้าพระองค์ว่า จำข้าพระองค์ไม่ได้ให้คนทุบถองจับคอ
ไสออกไป ขอพระองค์ได้ทรงเชื่อดังนี้เถิด แล้วกล่าวคาถา 3 คาถาว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงนามว่านิโครธ ท่าน
สาขะเสนาบดีพูดว่า เราไม่รู้จักคนนี้เลยว่า
เป็นใครกัน หรือเป็นเพื่อนของใคร พระองค์
จะทรงเข้าพระทัยอย่างไร.
ลำดับนั้น บุรุษผู้ทำตามคำของท่านสาขะ
เสนาบดีเข้าจับคอ ตบหน้าข้าพระองค์ขับไส
ออกไป.

ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชานิกร
กรรมอันไม่ประเสริฐเช่นนี้อันท่านสาขะเสนา-
บดีผู้เป็นเพื่อนเก่าของพระองค์ เป็นคนมีความ
คิดทราม เป็นคนอกตัญญูประทุษร้ายมิตร ได้
กระทำแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กินฺติ มญฺญสิ ความว่า ท่านสาข-
เสนาบดีได้กล่าวกะข้าพระองค์อย่างใด พระองค์จะทรงเข้าพระทัยอย่าง
นั้นหรือไม่ อธิบายว่า ท่านสาขเสนาบดีกล่าวอย่างนี้กะข้าพระองค์
พระองค์จงทรงเชื่อหรือไม่ ?
บทว่า คลวินีเตน คือ จบที่คอ. บทว่า ทุพฺภินา ได้แก่ผู้
ประทุษร้ายมิตร.
พระเจ้านิโครธราชได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสพระคาถา 4 พระ-
คาถาว่า :-
ดูก่อนสหาย เรื่องนี้เราไม่รู้เลย แม้ใคร ๆ
ก็มิได้บอกเรา ท่านมาบอกเราแล้วว่า ท่าน
สาขะเสนาบดีฉุดคร่าท่าน.
ท่านเป็นคนทำเพื่อนให้มีชีวิตอยู่สบายดี
ท่านเป็นคนให้อิสริยยศ คือความเป็นใหญ่ใน

หมู่มนุษย์แก่เรา และแก่สาขะเสนาบดีทั้ง 2
คน เราได้รับความสำเร็จเพราะท่าน ในข้อนี้
เราไม่มีความสงสัยเลย.
กรรมที่บุคคลทำในอสัตบุรุษ ย่อม
ฉิบหายไม่งอกงามเหมือนพืชที่บุคคลหว่านลง
ในไฟย่อมถูกไฟไหม้ไม่งอกงาม ฉะนั้น.
ส่วนธรรมที่บุคคลทำในคนกตัญญู มีศีล
มีความประพฤติประเสริฐ ย่อมไม่ฉิบหายไป
เหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในนาดี ฉะนั้น.

บรรดาเหล่านั้น บทว่า สํสติ แปลว่า บอกกล่าว. บทว่า
กฑฺฌนํ กตํ ได้แก่ ทำการฉุดคร่า กล่าวคือ การฉุดมาฉุดไปโดยโบย
และทุบตี. บทว่า สขีนํ สาชีวงฺกโร ความว่า ดูก่อนโปติกะผู้สหาย ท่าน
เป็นคนทำเพื่อนให้มีชีวิตอยู่สบาย. คือเป็นผู้ให้ความอยู่เกิดขึ้นแก่เพื่อน.
บทว่า มม สาขสฺส จูภยํ คือ แก่เราและแก่สาขเสนาบดีผู้เป็นเพื่อน
กันทั้ง 2 คน. บทว่า ตฺวํ โนปิสฺสริยํ ความว่า อนึ่ง ท่านเป็น
ผู้ให้อิสริยยศแก่พวกเรา คือพวกเราได้อิสริยยศนี้เพราะท่าน. บทว่า
มหคฺคตํ ความว่า คือความเป็นใหญ่.

แลเมื่อพระเจ้านิโครธราชกำลังตรัสอยู่อย่างนี้ สาขเสนาบดีได้
ยืนอยู่ ณ ที่นั่นเอง ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสถามเขาว่า ท่านสาขะ
ท่านจำโปติกะนี้ได้ไหม ? สาขเสนาบดีได้นั่งอยู่ พระองค์เมื่อจะลง
พระราชอาญาแก่เขา ได้ตรัสพระคาถาที่ 8 ว่า :-
ราชบุรุษทั้งหลาย จงฆ่าสาขะเสนาบดี ผู้
ชั่วช้ามักหลอกลวง มีความคิดอย่างอสัตบุรุษ
คนนี้เสียด้วยหอกทั้งหลาย เราไม่อยากให้มัน
มีชีวิตอยู่เลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชมฺมํ แปลว่า ผู้เลวทราม. บทว่า
เนกติกํ แปลว่า ผู้หลอกลวง.
นายโปติกะได้ฟังดังนั้น คิดว่า ไอ้คนพาลนี้จงอย่าฉิบหายเพราะ
เราเลย จึงกล่าวคาถาที่ 9 ว่า :-
ข้าแต่พระมหาราชา ขอพระองค์ได้โปรด
อดโทษให้แก่เขาเถิด ชีวิตของคนตายแล้วไม่
อาจจะนำกลับคืนมาได้ ขอได้ทรงโปรดอดโทษ
แก่อสัตบุรุษเถิดพระพุทธเจ้าข้า พระองค์ไม่
อยากให้ฆ่าเขา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขมตสฺส คือ ขมตทสฺส ความว่า
ขอพระองค์ได้โปรดอดโทษให้แก่อสัตบุรุษนี้เถิด. บทว่า ทุปฺปฏิอานยา
คือ อันชีวิตของคนที่ตายอันใคร ๆ ไม่อาจที่จะนำกลับคืนมาได้.
พระราชาได้ทรงสดับถ้อยคำของโปติกะแล้ว ก็ทรงยกโทษให้
สาขะ พระองค์ประสงค์จะพระราชทานตำแหน่งเสนาดีแก่นายโปติกะ
แต่เขาไม่ประสงค์ ลำดับนั้น พระองค์จึงทรงพระราชทานตำแหน่งขุน
คลัง เพิ่มอำนาจให้มีหน้าที่ตรวจตราราชการทั้งหมด ได้ยินว่า ฐานันดร
เช่นนั้น แต่ก่อนไม่เคยมีเพิ่งมีขึ้นแต่นั้นมา ต่อมาท่านขุนคลังโปติกะ
เจริญด้วยบุตรธิดา กล่าวสอนบุตรธิดาของตนด้วยคาถาสุดท้ายว่า :-
ควรคบแต่ท่านนิโครธเท่านั้น ไม่ควร
เข้าไปคบเจ้าสาขะอยู่ ตายเสียในสำนักท่าน
นิโครธประเสริฐกว่า เป็นอยู่ในสำนักเจ้าสาขะ
จะประเสริฐอะไร.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนาเรื่องนี้มาแสดงแล้ว ตรัส
ว่า ดูก่อน. ภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตก็เป็นคนอกตัญญู
อย่างนี้แหละ แล้วทรงประชุมชาดกว่า สาขเสนาบดีในครั้งนั้นได้มา
เป็นพระเทวทัตในบัดนี้ โปติกะขุนคลังในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์
ในบัดนี้ ส่วนพระเจ้านิโครธราชในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถานิโครธชาดกที่ 7

8. ตักกลชาดก



ว่าด้วยการเลี้ยงดูบิดามารดา



[1400] ข้าแต่พ่อ มันนก มันเทศ มันมือเสือ และ
ผักทอดยอด ก็มิได้มี พ่อต้องการอะไร จึง
ขุดหลุมอยู่คนเดียว ในป่ากลางป่าช้าเช่นนี้เล่า.
[1401] แน่ะพ่อ ปู่ของเจ้าทุพพลภาพมากแล้ว
ถูกกองทุกข์อันเกิดจากโรคภัยหลายอย่างเบียด-
เบียน วันนี้พ่อจะฝังปู่ของเจ้านั้นเสียในหลุม
เพราะพ่อไม่ปรารถนาจะให้ปู่ของเจ้ามีชีวิตอยู่
อย่างลำบากเลย.
[1402] พ่อได้ความดำริอันลามกนี้แล้ว กระทำ
กรรมอันหยาบช้าอันล่วงเสียซึ่งประโยชน์ ดู-
ก่อนพ่อ เมื่อพ่อแก่ลงก็จักได้รับกรรมเช่นนี้
จากลูกบ้าง แม้ลูกเองก็จะอนุวัตรตามเยี่ยง
ตระกูลนั้น จักฝังพ่อเสียในหลุมบ้าง.